วันอาทิตย์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 06.00 น.
โกลเด้นโกล์แรกในฟุตบอลโลก เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อ 22 ปีที่แล้วจาก โลรองต์ บลองก์
การแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 16 ปี 1998ที่ประเทศฝรั่งเศส ปูเสื่อเป็นเจ้าภาพ เมื่อ 22 ปีที่แล้วถือเป็นอีกหนึ่งเวิลด์คัพเกมที่คลาสสิก และมีบันทึกมากมายเกิดขึ้น
เป็นฟุตบอลโลก ครั้งแรกที่มี 32 ทีมเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก
เป็นฟุตบอลโลก ครั้งแรกที่อยู่ในยุคของ เซปป์ แบล็ตเตอร์ ที่รับไม้ต่อจาก โจอัว ฮาเวลานจ์
เป็นฟุตบอลโลก ครั้งแรกของ โครเอเชีย, จาเมกา, แอฟริกาใต้ และญี่ปุ่น
เป็นฟุตบอลโลกที่มีแชมป์ใหม่คือ ฝรั่งเศส
รายละเอียดครั้งนั้นมีเยอะแยะมากมาย แต่วันนี้เมื่อ 22 ปีก่อน...ปฏิทินเดินทางมาถึงวันที่ 28 มิถุนายน คือวันที่บันทึกโลกลูกหนังได้จดจำไปตลอดกาล
นั่นคือการเกิดการทำประตู “โกลเด้นโกล์” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เกมรอบน็อกเอาท์ รอบ 2 หรือ 16 ทีมสุดท้าย เปิดฉากขึ้น 2 คู่ และสามารถจบได้ใน 90 นาที ซึ่ง อิตาลี ชนะ นอร์เวย์ 1-0 และ บราซิล ไล่ทุบ ชิลี ขาดลอย 4-1
มาถึงเกมแรกประจำวันที่ 28 มิถุนายน 1998 ฝรั่งเศส เจ้าภาพ ที่ชนะมา 3 เกมรวดในรอบแรก เป็นที่ 1 สาย ซี ได้ดวลกับ ทีมชาติปารากวัย อันดับ 2 สาย ดี ที่ชนะ 1 เสมอ 2ไม่แพ้ใครมาเหมือนกัน
เกมที่สต๊าด โบลลาร์-เดอเลลิส ในเมืองลองส์ไม่จบใน 90 นาที ต้องต่อเวลาออกไป ก่อนที่ โลรองต์บลองก์ จะเป็นผู้จารึกประวัติศาสตร์ ด้วยการสังหารด้วยเท้าขวา ผ่านมือของ โฮเซ่ หลุยส์ ชีลาเวิร์ต ยอดนายประตูจอมยิงฟรีคิก เข้าไปตุงตาข่าย ในนาทีที่ 114
นี่คือโกลเด้นโกล์ แรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
บลองก์ ในยุคนั้นบนวัย 33 ปี เล่นกับ โอลิมปิก มาร์กเซย เขาคือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีม ที่เล่นคู่กับ มาร์กแซล เดอไซยี่ ได้อย่างสุดแกร่ง หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทักษะการยิงในครั้งนั้นทำไมไม่เหมือนกองหลังที่เราท่านได้เห็นกัน
นั่นก็เพราะว่า บลองก์ เริ่มต้นอาชีพจากตำแหน่งของมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งตัวเขานั้นมีทักษะในการเล่นอันยอดเยี่ยมเปี่ยมด้วยเทคนิค แต่แน่นอนว่า เขาค่อนข้างช้า ก่อนจะถูกเจียระไนจาก มิเชล เมซี่ ให้ถอยลงมายืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ
ด้วยตำแหน่งนี้ทำให้อาชีพของ บลองก์ โลดแล่นจนก้าวไปติดทีมชาติแบบถาวร ด้วยเรือนร่างสูงถึง 192 เซนติเมตร และหนัก 86 กิโลกรัม
หากเรานับกันจริงๆ แล้ว บลองก์ นี่แหละที่มีโมเมนท์ใน “ฟรองซ์ 98” มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
หนึ่ง คือ เขาจะจุมพิตศีรษะของ ฟาเบียง บาร์กเตซ ผู้รักษาประตูก่อนเกมทุกนัด
สอง คือ เขาพลาดลงเล่นนัดชิงฯ เพราะโดนไล่ออกจากจังหวะปะทะกับ สลาเวน บีลิช ในรอบตัดเชือก
สาม คือ ลูกยิงโกลเด้น โกล์ นี่แหละ
บลองก์ ได้รับการยกย่องว่า นี่คือนักเตะที่ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศฝรั่งเศส จากการโหวตของฟรองซ์ ฟุตบอล เมื่อปี 1999 เป็นรองเพียงแค่ มิเชล พลาตินี่, ซีเนดีน ซีดาน และ เรย์มง โกปา เท่านั้น
ชัยชนะจากโกลเด้นโกล์ครั้งนั้น เป็นชัยชนะครั้งสำคัญทำให้ ฝรั่งเศส ผ่านเข้ารอบและไปเป็นแชมป์โลกในบั้นปลาย
ลูกยิงโกลเด้นโกล์ จึงกลายเป็น “ของคู่กาย” นักบอลฝรั่งเศส อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ภาพที่จดจำของหลายคน อาจจะไม่ได้นึกถึงลูกยิงของ บลองก์ เป็นลำดับแรก แต่นึกถึงลูกยิงในนัดชิงชนะเลิศ ยูโร 2000 ของ ดาวิด เทรเซเกต์
แถมยังลืมลูกยิงโกลเด้นโกล์ รอบรองชนะเลิศ ของ ซีดาน ด้วยซ้ำไป!!!
...สองปีต่อมาหลังจากการเป็นแชมป์โลก เหตุการณ์สำคัญในการยิงโกลเด้นโกล์ เกิดขึ้นกับ ฝรั่งเศส ถึงสองเกมติดต่อกัน
รอบรองชนะเลิศ จุดโทษของ ซีดาน ในนาทีที่ 117 ทำให้พวกเขาปราบ โปรตุเกส 2-1 เข้าไปชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
รอบชิงชนะเลิศ การสะบัดยิงด้วยซ้ายของ ดาวิด เทรเซเกต์ ในนาทีที่ 103 คือการตอกย้ำตำนานและภาพจำความเป็น “โกลเด้น โกล์”
อย่างไรก็ตาม โกลเด้นโกล์ มีลมหายใจอยู่ในวงการฟุตบอลไม่นาน และได้ถูกถอดออกจากปฏิทินฟีฟ่า หลังจากจบศึกฟุตบอลหญิง ชิงแชมป์โลกปี 2003
หนักกว่าคือ “ซิลเวอร์โกล์” ที่สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า พยายามนำมาดัดแปลงแต่ก็ไม่เวิร์ก เมื่อมีเวลาแค่ปีเดียวที่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ จากปี 2003 และจบลงหลังจากศึกยูโร 2004
เอาเข้าจริง กฎโกลเด้นโกล์ ถือเป็นครบเครื่องต้มยำมากๆ แต่ก็มีหลายด้านหลายมุมเหมือนกับทุกสิ่ง
มีความโหดร้ายสำหรับผู้แพ้ แต่สำหรับผู้ชนะคืออารมณ์ที่ดีใจผสมใส่ด้วยระเบิด
บางทีเกมก็ดูจืดจนเกินไป เพราะทุกคนมองว่าแต่ละทีมจะเกร็งกลัวแพ้ จนฟุตบอลไม่สนุก
ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วแต่มุมมอง
มุมใครได้ มุมใครเสีย
นาทีนี้หากจะคิดถึงกฎ กฎหนึ่งที่หลายคนอาจจะคิดถึง ก็คือกฎนี้แหล่ะโกลเด้นโกล์
ที่ขึ้นหิ้งอยู่ในตำนาน และยากมากที่จะกลับมาอีก
ทำเนียบ‘คลาสสิก’โกลเด้นโกล์
l ลูกแรกจากบอลเยาวชนโลก
การแข่งขันฟุตบอลเยาวชนโลก ปี 1993 (The 1993 FIFA World Youth Championship) ที่แลง พาร์ค นครบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย นักเตะเจ้าถิ่นจังโก้ คว้าชัยชนะได้สำเร็จหลังจากหักด่าน อุรุกวัย 2-1 โดยได้ประตูทองในนาทีที่ 99 แอนโธนี่ย์ คาร์บอเน่ กองกลางวัย 18 ปี พาทีมผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย
l ประตูแรกในระดับมืออาชีพ
สกอร์แรกของ “ประตูทอง” ในระดับอาชีพ เกิดขึ้นจาก พอล ไทต์ กองกลางตัวสำรอง ในการเตะศึกฟุตบอลลีก โทรฟี่ นัดชิงชนะเลิศ (1995 Football League Trophy Final) ที่สนามเวมบลีย์ ยุคหอคอยคู่ “ลูกโลก” เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ บดชนะ คาร์ไลส์ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อ 23 เมษายน 1995 ในนาทีที่ 103 แต่คนจำตรงที่ พอล ยิงเสร็จแล้วเปิดเสื้อด้านในเขียนด่าแฟนบอลแอสตัน วิลล่า คู่ปรับว่า “Shit on the Villa»
l แชมป์ของเยอรมนีบนแผ่นดินอังกฤษ
โอลิเวอร์ เบียร์ฮอฟฟ์ ไอ้ยักษ์โขมด ยุค 90 ถูกส่งลงสนามโดย แบร์ตี้ โฟกส์ เทรนเนอร์ ในนาทีที่ 69 และจากนั้นไม่กี่นาที เบียร์โฮฟฟ์ ทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ แต่ที่โลกจดจำก็คือในช่วงต่อเวลา เขาเอาตัวพิงแนวรับก่อนจะซัดไปตรงมือของ ปีเตอร์ คูบ้า แต่บอลแรงทะลุเข้าไป เป็นโกลเด้นโกล์ที่โลกจดจำ เพราะเกิดในนัด
ชิงชนะเลิศ ทำให้ดับฝันม้ามืดอย่าง สาธารณรัฐเช็ก พร้อมกับครองเจ้ายุโรปบนแผ่นดินอังกฤษคู่ปรับสำคัญอีกด้วย
l แชมป์ที่ 3 ในปีเดียวของลิเวอร์พูล
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ยูฟ่า คัพเป็นแชมป์ที่ 3 ในซีซั่นเดียวของทีม เมื่อฤดูกาล 2000-01 ด้วยโกลเด้นโกล์ ที่ทำเข้าประตูตัวเองของ เดลฟี่ เกลี่ ที่ลอยตัวขึ้นโหม่งสกัดพลาด ทำให้ประตูทองลูกนี้ทำให้ยอดทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ ได้ฉลองแชมป์บอลถ้วย 3 รายการในปีเดียว นั่นคือ ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า คัพ
l ประตูทองสุดท้ายในฟุตบอลโลก
หลังจากยุคของ บลองก์ ก็เกิดประตูโกลเด้นโกล์ขึ้นอีกถึง 3 ลูก ในศึกบอลโลก 2002 จาก อองรี กามาร่า ของเซเนกัล ที่ดับฝัน สวีเดน ในรอบ 16 ทีม ต่อด้วยลูกโหม่งของ อาห์น จุง วาน ดาวยิงเกาหลีใต้ ที่โค่น อิตาลี แบบสะท้านโลกันตร์ ในรอบเดียวกัน แต่ประตูสุดท้ายของบอลโลกจากโกลเด้นโกล์ เกิดขึ้นในรอบ 8 ทีม เมื่อ อิลฮาน มานซิซ ทำได้ในนาทีที่ 94 ในเกม “ม้ามืดขย่มม้ามืด”ซึ่ง ตุรกี เฉือนชนะ เซเนกัล ลงได้ 1-0
June 28, 2020 at 06:00AM
https://ift.tt/2YBCe2O
22ปี'โกลเด้นโกล์'ประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://ift.tt/2BQJXBh
Bagikan Berita Ini
0 Response to "22ปี'โกลเด้นโกล์'ประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"
Post a Comment