เมสซี่เล่นในอังกฤษไม่ได้!!?? - สยามกีฬา

blogpolitikgue.blogspot.com

เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ

คือเมื่อวันก่อน ขณะขับรถกลับบ้าน ผมฟังวิทยุไปด้วย ผู้ดำเนินรายการพูดถึงเรื่องที่ ลีโอเนล เมสซี่ ขอย้ายทีมออกจากบาร์เซโลน่า ตามที่เป็นข่าวแล้ววิเคราะห์กันว่าน่าจะไปไหน

ทันใด ผู้ดำเนินรายการท่านหนึ่งก็ยืนยันหนักแน่นประมาณว่าฝีเท้าระดับ เมสซี่ สามารถไปเล่นที่ไหนก็ได้ในโลกนี้

ยกเว้นพรีเมียร์ลีกของอังกฤษที่เดียว !!!

เหตุผลคือที่เมืองหลวงแห่งลูกหนังเล่นฟุตบอลกันหนักหน่วงและรวดเร็ว นอกจากนี้ฝนก็ตกตลอดปี ลมกรรโชกแรง อากาศหนาวเหน็บ แถมยังเล่นบอลโยนยาวอีกต่างหาก !!!

ขืนทะลึ่งมาค้าแข้งในอังกฤษมีหวัง...เละ

ว่าแล้วก็ฟันธงได้ว่า ลีโอเนล เมสซี่ ไม่เหมาะกับสมรภูมิแข้งอย่างพรีเมียร์ลีกด้วยประการทั้งปวง

อืมมมมมมมมม...นะ

นี่คือการฟังมาแล้วก็พูดตามๆ กันไปอย่างแท้จริง

ฟังมาแล้วก็พูดตามๆ กันไป ได้ยินมาแบบไหน ก็คิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ยึดติดโดยปราศจากความยั้งคิด ไม่รู้จักหัดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง แถมไม่คำนึงถึงความจริงในปัจจุบันว่ามันไม่เหมือนในอดีตแล้ว

เข้าใจไหมครับ ไอ้การได้ยินมาแบบไหนก็จะเชื่อแบบนั้นอย่างฝังจิต แล้วก็พูดตามๆ กันโดยมักเอาคำว่า "เขาเล่าว่า..." หรือ "เขาบอกว่า..." มาอ้าง เพื่อเป็นเกราะป้องกันว่ามันไม่ใช่ความคิดของฉันนะ มันเป็นความคิดคนอื่น ฉันฟังเขามาอีกที

แล้วเคยสงสัยไหมว่า "เขา" นี่ใครวะ

เขาบอกว่า เขาเล่าว่า เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้ ไม่เคยฉุกคิดเลยว่า "เขา" นี่ใครวะ 5555

ทีนี้ถามว่าแล้ว ลีโอเนล เมสซี่ เล่นฟุตบอลในอังกฤษไม่ได้จริงๆ เหรอ ???

ถ้าคุณคิดว่า...เล่นไม่ได้ มันก็ต้องมาวิเคราะห์ถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเล่นไม่ได้ ฟุตบอลอังกฤษมันไม่เหมาะกับดาวเตะจากต่างดาวผู้นี้ตรงไหน หรืออย่างไร

ขอเริ่มต้นที่สไตล์การเล่นก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะบอกทุกอย่าง เองเมื่อคุณอ่านบทความนี้จนจบ

โทษฐานของผู้ที่ติดเชื้อบ้าคลั่งเกมฟาดแข้งในยุค 80's

ฟุตบอลอังกฤษยุคโน้นในความทรงจำของผมคือทีมส่วนใหญ่ในอังกฤษนิยมใช้วิธีการเล่นแบบโยนยาว

บอลโยนยาวจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ก่อนจะกลายเป็น "ภาพจำ"

ยุคโน้นในลีกสูงสุดของอังกฤษที่เรียกว่า "ดิวิชั่น 1" ยังไม่ค่อยมีผู้เล่นต่างชาติเข้ามาค้าแข้งสักเท่าไหร่ นักเตะส่วนใหญ่ที่ค้าแข้งเป็นชาวอังกฤษ, สก๊อตแลนด์, เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ และไอร์แลนด์

นักเตะสายพันธุ์นี้มีรูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรง พวกเขาจะอาศัยพละกำลังเข้าห้ำหั่นกันให้ตายหงส์ตายห่านกันไปข้างมากกว่าใช้เทคนิคและทักษะ

ส่วนสภาพอากาศบนเกาะมหาสมบัติก็อุดมด้วยลมและฝน

ด้วยความเป็นเกาะ ฝนจึงตกชุกตลอดทั้งปี ลมก็กรรโชกแรง พอเข้าฤดูหนาวก็มีหิมะเข้ามาเสริม อีกทั้งยังมีลูกครึ่งระหว่างฝนกับหิมะที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า "สลีต" (Sleet) อีกต่างหาก

ด้วยสภาพดินฟ้าอากาศที่ห่วยแตกแบบนี้ สนามฟุตบอลในเมืองผู้ดีจึงมักจะเจิ่งนองและเฉอะแฉะ หากตกหนักอย่างต่อเนื่อง สภาพสนามแทบไม่ต่างจากปลักควาย

นั่นคือที่มาของวิธีการเล่นแบบโยนยาว

หลายทีมนิยมวิธีการเล่นแบบ "ไดเร็กต์ ฟุตบอล" เพื่อหลีกเลี่ยงการเล่นบนพื้น

ประเภทฟูลแบ็คได้บอลก็จะหวดตูมเดียวไปข้างหน้าให้กองหน้าวิ่งไล่กวด ขณะที่กองกลางมีหน้าที่บดบี้พลางไล่เสียบคู่แข่งอย่างเมามัน

สาบาน! ฟุตบอลอังกฤษที่ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมเคยเห็นในยุคโน้น มันเล่นกันแบบนี้จริงๆ นะครับ

บางทีมยึดสไตล์การเล่นแบบนี้จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองเลย ยกตัวอย่าง วิมเบิลดัน

เหตุเพราะสภาพสนามมันไม่เอื้ออำนวยต่อการเคาะบอลทำชิ่งบนฟลอร์หญ้า ขณะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ผลิตในประเทศ ไม่ใช่นักเตะต่างชาติ พละกำลังจึงสำคัญกว่าเทคนิคและทักษะ ว่าแล้วก็เข้าบอลเร็วและหนักแบบที่เรียกว่า "เสียบทะลุดาร์กซ์" เลยทีเดียว

ถ้าฟุตบอลอังกฤษเป็นแบบนี้อยู่ รับรองได้เลยว่า ลีโอเนล เมสซี่ เล่นไม่ได้แน่นอนครับ โดนเข้าบอลหนักๆ โดนไล่เตะ พี่แกคงทนไม่ไหว ครั้นจะใช้ความสามารถเฉพาะตัว หรือการต่อบอลทำชิ่ง เพื่อเอาตัวรอดก็คงทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะสภาพสนามไม่เอื้ออำนวย แถมทีมตัวเองดันใช้วิธีการเล่นแบบโยนยาวอีก

ตัดภาพกลับมา ณ ปัจจุบัน

เวลานึกถึงฟุตบอลอังกฤษ "ภาพจำ" อันเป็นภาพเก่าๆ ที่เห็นและฟังตามๆ กันมา มันจะผุดขึ้นมาในมโนสำนึก แล้วเราก็จะบอกโดยอัตโนมัตว่าที่นั่นเล่นหนัก เล่นเร็ว และโยนยาว ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้มีการถ่ายทอดสดศึกพรีเมียร์ลีกให้ดูทุกสัปดาห์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังพูดเหมือนเดิม เหมือนที่ผมได้ยินมาจากในวิทยุนั่นแหละ

หากดูแล้วคิดตามไปด้วย ไม่ใช่ดูผ่านๆ หรือดูเผินๆ มันก็จะ "เบิกเนตร" ได้ว่าเดี๋ยวนี้ ฟุตบอลอังกฤษไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว

20 สโมสรในพรีเมียร์ลีกแทบไม่มีทีมไหนใช้วิธีการเล่นแบบโยนยาวแล้วนะครับ-ขอบอก

แม้แต่ทีมประเภท "น้องใหม่" ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาบนลีกสูงสุดในแต่ละฤดูกาล พวกเขาไม่ได้เล่นบอลแบบอังกฤษโบราณกันแล้วนะครับ พวกน้องใหม่ก็พยายามเล่นฟุตบอลบนความสวยงามจนบางครั้งถูกวิจารณ์ว่าถ้าจะต่อสู้ เพื่อเอาตัวรอด มึงจะคำนึงการเล่นแบบมีสไตล์มากไม่ได้ บางทีวิธีการเก่าๆ อาจช่วยให้เอาตัวรอดได้มากกว่า

แล้วทำไมทีมในอังกฤษถึงไม่เล่นแบบเดิมล่ะ ???

คำตอบคือยุคสมัยมันเปลี่ยนไป

เดี๋ยวนี้พรีเมียร์ลีกอุดมด้วยดาวเตะต่างชาติ แถมไม่ใช่ต่างชาติแบบไก่กาตามอะโกโก้ที่พัทยา แต่เป็นต่างชาติระดับอ๋องค่าตัวมโหฬาร โทษฐานที่เป็นสมรภูมิแข้งที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งของเมืองมนุษย์

สำหรับนักเตะต่างชาติไม่ว่าจะมาจากยุโรปหรืออเมริกาใต้ เทคนิคและทักษะสำคัญมากกว่าพละกำลัง

สภาพอากาศบนเกาะมหาสมบัติยังเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือความเจริญก้าวหน้า

ในยุคที่มีการมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้ทีมที่ดูแลรักษาสนามหญ้าในบ้านตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม หรือที่ล้อกันอย่างเอ็นจอยรูปากว่า "แชมป์หญ้าสวย" สังเวียนแข้งส่วนใหญ่ของแต่ละสโมสรในพรีเมียร์ลีกมีลานจอดหญ้าที่สวยงาม นุ่มนวล และเขียวขจีน่าลงไปวิ่งไล่หวดลูกหนังยิ่งนัก

นอกจากนี้ยังมีเครื่องทำความร้อนฝังเอาไว้ข้างใต้สนามอีกต่างหาก ฝนตก หิมะตก สลิตตก ไม่มีปัญหาเจิ่งนอง สามารถต่อบอลและทำชิ่งกันได้อย่างลื่นไหลจนไม่จำเป็นต้องโยนยาว

ถึงแม้ว่านักเตะสายพันธุ์อิงลิชและนาทีนี้ยังเข้าบอลหนักหน่วงและรวดเร็วเหมือนเดิม แต่ก็ไม่สุดโต่งเหมือนสมัยก่อน แถมใช้สมองในการเล่นมากกว่าใช้แรงงานเพียงอย่างเดียว

หลายทีมอาศัยการเซ็ตบอลกันสั้นๆ ขึ้นมาจากแดนตัวเอง ไม่ใช่ตะบี้ตะบันโยนยาวแบบตะพรึดตะพรือ

ที่สำคัญคือวิธการเล่นแบบโยนยาวอันเป็น "ภาพจำ" ของฟุตบอลอังกฤษ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวของ ลีโอเนล เมสซี่ เลย

สมมุติว่าเขาเลื้อยตูดลายหนังไก่ทอดมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ สไตล์การเล่นของทีมเรือใบสีฟ้าจากขุมกบาลของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มันก็แทบไม่ต่างจาก บาร์เซโลน่า ด้วยซ้ำ หรือต่อให้ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส หรืแม้แต่ เลสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้เล่นบอลโยนยาวนี่หว่า

หรือต่อให้คู่แข่งเล่นบอลแบบโยนยาว มันก็ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับดาวเตะผู้นี้เข้าไปใหญ่ คือมึงอยากจะเล่นบอลโยนยาวก็เล่นไปซีครับ ใครว่าอะไรล่ะ เพียงแต่มันเกี่ยวอะไรกับ ลีโอเนล เมสซี่ ตรงไหน ในเมื่อทีมของเขาไม่ได้เล่นบอลโยนยาวสักหน่อย

สภาพสนามก็อย่างที่บอก

ว่าแล้วลองนึกถึงสนามของแต่ละทีมในพรีเมียร์ลีกดูนะครับ

เอติฮัด สเตเดี้ยม, โอลด์ แทรฟฟอร์ด, แอนฟิลด์, สแตมฟอร์ด บริดจ์, เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม, ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม, คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม, เอลแลนด์ โร้ด, เซนต์ เจมส์ พาร์ค, บรามอล เลน, โมลินิวซ์ กราวน์, กูดิสัน พาร์ค, เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม, เทิร์ฟ มัวร์, คราเวน ค็อตเทจ, ฮอว์ธอร์นส์ และอื่นๆ ล้วนทันสมัยและถูกปรับปรุงให้ไฉไลหมดแล้ว

ส่วน สโต๊ค ซิตี้ ที่พูดกันหลายปากว่า ลีโอเนล เมสซี่ ควรต้องไปพิสูจน์ตัวเองที่นั่น (แล้วทำไมดาวเตะระดับนี้ต้องไปพิสูจน์ตัวเองที่ สโต๊ค ด้วยวะ)

สนามของทีมช่างปั้นหม้อ (บริแทนเนีย สเตเดี้ยม) ตั้งอยู่บนเนินเขา ลมกระโชกแรงมาก แถมช่วงหนึ่งพวกเขาชอบอาศัยความเป็นเจ้าบ้านช่วยให้ตัวเองได้เปรียบผู้มาเยือน ด้วยการตีเส้นสนามให้แคบลง เพื่อให้ ลอรี่ ดีแล็ป ทุ่มบอลไกลโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังปล่อยหญ้าให้ยาว เพื่อยากแก่การต่อบอลของคู่แข่ง แล้วตัวเองก็จะบอมบ์ยาวเข้าใส่

เพียงแต่นั่นคือ สโต๊ค ซิตี้ ตอนที่ยังมีกุนซือชื่อ โทนี่ พูลิส นะครับ

ข่าวดีสำหรับ ลีโอเนล เมสซี่ คือตอนนี้ "คลับหม้อ" ไม่ได้อยู่ในพรีเมียร์ลีก แถมไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับมาในเร็วๆ นี่ด้วย

ที่สำคัญคือนับตั้งแต่ค้าแข้งมา เจ้าของสมญา "คิง เลโอ" เคยปะทะกับทีมในอังกฤษรวมกันทั้งหมดถึง 34 นัด แถมเป็นการเจอกับทีมระดับพญายักษ์อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, เชลซี และสเปอร์ส พี่แกยิงได้ไม่มากสักเท่าไหร่

แค่ 26 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ เองครับ

ขณะที่นักเตะอาร์เจนติน่าอีกคนอย่าง กุน อเกวโร่ ที่มีความสูงเพียง 173 ซม.

"กุน" อยู่กับ แมนฯ ซิตี้ มานาน 9 ปีแล้วนะครับ โดยกระทุ่งตาข่ายในพรีเมียร์ลีกไปแล้วถึง 180 ประตู

ไฉนตอนย้ายมาจาก แอต.มาดริด ใหม่ๆ ไม่มีใครพูดบ้างเลยว่าดาวเตะผู้นี้เล่นในพรีเมียร์ลีกไม่ได้หรอก

บอ.บู๋

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport